วันจันทร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2555

การปลูกไผ่กิมซุง


การปลูกไผ่กิมซุ่งจากประสบการณ์
          ผมเขียนเรื่องการปลูกไผ่กิมซุ่งขึ้นมากจากประสบการณ์การทำไผ่กิมซุ่งมาได้ หลายปีแล้ว   อาจจะไม่เหมือนตำราของท่านผู้รู้อื่นๆ   ท่านใดที่ได้แวะผ่านเข้ามาอ่านเห็นว่ามีประโยชน์จะนำไปใช้เพื่อเป็นคู่มือ ในการปลูกไผ่เพื่อให้ประสบความสำเร็จ  ผมยินดีเป็นอย่างยิ่ง  แต่ถ้าเห็นว่าไม่เป็นประโยชน์ที่จะนำไปปฏิบัติ  ก็อ่านแล้วก็ผ่านเลยไป   ผมเองเห็นเกษตรกรหลายๆท่านซื้อไผ่กิมซุ่งมาปลูกเพราะได้ยินมาว่าปลูกง่าย  ปลูกเพียง  6  เดือนก็สามารถเก็บหน่อกินและจำหน่ายได้  แต่ก็ไม่ประสบณ์ความสำเร็จตามที่ผู้ขายพันธุ์โฆษณาไว้  แต่ก็เกิดความผิดหวัง  ท้อแท้ และกลายเป็นไผ่ไม่ใช้ทางเดินที่ถูก  ต้องเสียเวลาไปเริ่มกับพืชอื่นๆใหม่   ผมเองก็อยากจะบอกว่าไผ่อาจจะปลูกง่าย  แต่จะปลูกให้ได้ผลผลิตกินหรือจำหน่ายสำหรับเกษตรกรที่คิดจะทำเป็นอาชีพไม่ ใช้ง่าย  เกษตรกรต้องมีน้ำเป็นสิ่งสำคัญ  มีความขยันอดทน  มีความรู้ในเรื่องไผ่ชนิดที่เกษตรกรเลือก  มีหัวเป็นพ่อค้าสามารถที่จำรู้ว่าจะนำหน่อไม้ไปขายได้ที่ไหน  ลำไผ่จะไปขายได้ที่ไหน  และไผ่ไม่ใช่ปลูกง่ายนัก  เกษตรกรถ้ามีโอกาสจะต้องศึกษาดูงานจากสวนจริงด้วย  เพราะงานได้เห็นจะทำให้เข้าใจได้เร็วกว่าการอ่านเพียงอย่างเดียว
       
          ไผ่กิมซุ่ง   เป็นชื่อทางการค้าของไผ่ในสกุลไผ่ป่าชนิดหนึ่ง คือสกุล  Bambusa   มีชื่อวิทยาศาสตรว่า  Bambusa   beecheyama   ไผ่ตัวนี้มีชื่อทางการค้าอีกหลายชื่อคือ  ไผ่ตงไต้หวัน  ไผ่จีนเขียวเขาสมิง  ไผ่ตงลืมแล้ง    ไผ่ตงอินโด     ไผ่ทองสยาม  ไผ่หวานต่างๆ  เป็นต้น   ไผ่กิมซุ่งไม่มีท่านใดทราบโดยมีหลักฐานว่าเข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่เมื่อ ไหร่  ไผ่ตัวนี้มีอายุกี่ปีแล้ว  และไผ่กิมซุ่งจะอยู่ไปอีกกี่ปีจึงจะออกดอก   จากประสบการณ์  ผมได้พบต้นที่เก่าแก่มากๆ  เกษตรกรปลูกโดยไม่สนใจ  ไม่เคยสางกอเลย  กอใหญ่อัดแน่นมาก  มีชาวบ้านมาเอาหน่อไปกินทั้งหมู่บ้าน  แต่ก็ไม่ได้สนใจที่จะทำเป็นการค้า  จากการสอบถามชาวบ้าน  ชาวบ้านบอกว่าได้ปลูกมา  25  ปีกว่าแล้ว  หน่อก็ยังออกดกเป็นปรกติอยู่  ผมดูแล้วดกมาก  นับว่าไผ่ตัวนี้น่าสนใจทีเดียว  ผมนำมาปลูกในสวนได้  5  ปีแล้ว  และเพื่อนๆกลุ่มเดียวกันก็นำไปปลูกพร้อมกัน  ทำนอกฤดูในแนวเดียวกัน  พบว่าไผ่กิมซุ่งสามารถทำให้ออกหน่อทะวายได้ตลอดทั้งปีถ้ามีการให้น้ำและปุ๋ย อย่างเพียงพอ  และสามรถทำให้ออกหน่อได้ตั้งแต่เดือนธันวาคมเป็นต้นไปซึ่งเป็นช่วงที่ไม่มี ฝน  และหน่อไม้ตามท้องตลาดมีน้อย  หน่อไม้จะมีราคาดีที่สุด    การปลูกไผ่กิมซุ่งสามารถแนะนำได้ดังนี้
การเตรียมดิน

     พื้นที่ปลูก  เกษตรกรควรเลือกพื้นที่  ที่เป็นดินทราย  หรือดินร่วนปนทราย  หากเป็นดินเหนียวหรือดินลูกรังก็ปลูกได้  แต่จะต้องปรับปรุงดินรอบๆกอไผ่ด้วยอินทรีย์วัตถุมากหน่อย  รากไผ่กิมซุ่งแข็งแรงและหาอาหารเก่ง  สามารถปลูกได้ทุกสภาพดิน  หากเป็นพื้นที่ดอนหรือที่ที่น้ำไม่ท่วมขัง ก็สามารถปลูกได้ทุกเวลา  หรือถ้าปลูกในฤดูฝนก็จะยิ่งดี  ควรจะปลูกตั่งแต่เดือนพฤษภาคม   แต่ถ้าพื้นที่ของเกษตรกรเป็นพื้นที่นาหรือที่ต่ำน้ำท่วมขังควรจะเลือกปลูก ในฤดูแล้งคือควรจะเริ่มปลูกในเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน  เพราะพื้นที่ต่ำถ้าปลูกในช่วงฤดูฝนในขณะที่ฝนตกชุก  กล้าไผ่ที่ปลูกใหม่ยังไม่มีรากมากนัก  ยังไม่แข็งแรง หากมีน้ำขังหลุมปลูกมาก  ต้นไผ่ที่ยังเล็กจะเหลือง รากเน่าไม่ค่อยโตและอาจตายไปในที่สุด    การเตรียมพื้นที่ควรจะไถพื้นที่ตั้งแต่ช่วงฤดูแล้งเพื่อเปิดหน้าดินและตาก ดินไว้  พอฝนมาก็ให้ไถดะอีกรอบพร้อมทั้งไถแปร จากนั้นคาดดินให้เรียบ  จึงพร้อมที่จะปลูกไผ่ได้ต่อไป
     ไผ่กิมซุ่งจะใช้ระยะปลูก  ระยะระหว่างแถว  4  เมตร  ระยะระหว่างต้น  4  เมตร จะใช้ต้นพันธุ์ อยู่ที่   100  ต้นต่อไร่  จะเก็บหน่อไม้อยู่นานได้  5  ปีถึง  7 ปี กว่ากอจะชนกัน  แต่หากเกษตรกรใช้ระยะปลูกคือระยะระหว่างแถว  6  เมตร  ระยะระหว่างต้น  4  เมตร  จะใช้ต้นพันธุ์  66   ต้น จะเก็บหน่อได้นานขึ้น ประมาณ  7 ปี ถึง  10  ปีกว่ากอจะชนกัน  หลุมปลูกไผ่กิมซุ่ง  จะขุดหลุมที่ระยะ  30*30*30  เซนติเมตรถ้าพื้นที่เป็นดินร่วนถึงร่วนปนทราย (แต่ถ้าเป็นดินลูกรังปนหินควรจะขุดให้กว้างกว่านี้เป็น 50*50*50 และหาดินดำ  แกลบ  ขี้เถ้าแกลบหรือปุ๋ยคอกเก่า คลุกหลุมก่อนปลูก )  ถ้าหากเกษตรกรจะรองก้นหลุมก็ควรจะใช้  ขี้เถ้าแกลบไม่ควรจะใช้ปุ๋ยคอกเพราะถ้าปลูกในฤดูฝนหากฝนตกหนักจะทำให้รากไผ่ ที่กำลังออกมาใหม่ๆ เน่าได้ทำให้ต้นไผ่กิมซุ่งเหลือง  ชะงักการเจริญเติบโต   กว่าจะโตก็นานขึ้น  เวลาปลูกที่ดีคือเดือน พฤษภาคม  เมื่อได้กล้าไผ่กิมซุ่งมาก็ทำการปลูก  ควรจะปลูกให้ดินที่ปากถุงเสมอดินเดิมที่ปลูก  ไม่ควรจะปลูกต่ำกว่าดินเดิมที่เตรียมไว้  เพราะถ้าฝนตกหนักจะทำให้รากไผ่ที่งอกมาใหม่ๆเน่าได้จากน้ำฝนที่ขังนานๆ
     ถ้าหากพื้นที่ของเกษตรกรเป็นพื้นที่ต่ำ  ไม่ควรจะปลูกในฤดูฝน  ในฤดูฝน ฝนจะตกหนัก ทำให้น้ำขังหลุมบ่อย  จะทำให้ไผ่กิมซุ่งเหลืองและจะไม่โต แม้ว่าไม่ตายแต่ก็ไม่โต   ไผ่กิมซุ่งแม้ว่าน้ำท่วมจะไม่ตายแต่ก็ต้องกอใหญ่มากกว่า  1  ปีไปแล้ว  แต่ถ้าปลูกใหม่ๆยังไม่ทนต่อน้ำท่วมขังบ่อยๆ   พื้นที่ต่ำควรจะปลูกในเดือนตุลาคม  ในฤดูแล้งก็ต้องให้น้ำ  แต่พอย่างเข้าฤดูฝนไผ่กิมซุ่งก็ตั้งตัวได้และทนสภาพน้ำขังเมื่อฝนตกหนักได้  พื้นที่ต่ำควรจะขึ้นแปลงทำร่องระบายน้ำด้วยครับ
          การดูแลไผ่กิมซุ่งเมื่อปลูกไปแล้วว่าจะทำอย่างไรให้ไผ่กิมซุ่งโตต่อเนื่อง ไม่หยุดชะงักเพื่อให้โตพอที่จะมีลำใหญ่ที่จะใช้เป็นลำแม่  มีอย่างน้อย  2-3  ลำเป็นลำที่มีขนาด ไม่ต่ำกว่า  1.5-2  นิ้วขึ้นไปภายในเวลาไม่เกิน  8  เดือน เพื่อจะเก็บหน่อไปกิน  ขาย หรือแจกได้   ตรงนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก  เกษตรกรจะต้องมีเวลาอยู่กับต้นไผ่  ถ้าคิดว่าไผ่เหมือนไม้ป่าทั่วไป  ไงๆก็ต้องโตดีแน่ๆ  ไม่ต้องสนใจมากนัก  นานๆมาดูสักครั้ง  อย่างนี้พอแปดเดือนตามที่ผู้ขายพันธุ์ว่าไว้ก็ยังไม่ได้ต้นใหญ่ ก็หาว่าผู้ขายพันธุ์โกหก    แต่หากเกษตรกรคิดว่าปลูกไผ่เหมือนปลูกผัก  ต้องดูแล กำจัดหญ้า ให้น้ำ  ให้ปุ๋ยตามี่ไผ่กิมซุ่งต้องการ  ดูบ่อยๆเห็นปัญหา  เห็นการเปลี่ยนแปลง  ถ้าคิดอย่างนี้ไม่เกิน  8  เดือนได้ลำใหญ่พร้อมที่จะเก็บหน่อกิน  ขาย  แจกได้แน่นอน
การให้ปุ๋ยกับไผ่กิมซุ่ง

          หลังจากปลูกไผ่กิมซุ่งไปแล้ว  ให้น้ำเพียงอย่างเดียวไปสักระยะหนึ่ง  (ถ้าฝนตกก็ไม่ต้องให้) รอเวลาผ่านไปประมาณ  40  วันสังเกตุต้นไผ่กิมซุ่งดู  ถ้ามียอดอ่อนแตกใหม่  หมายความว่ารากของไผ่กิมซุ่งเริ่มออกหาอาหารแล้ว  ก็สมควรให้ปุ๋ยได้แล้ว  ไผ่กิมซุ่งถ้ายังสร้างใบได้ไม่มากพอก็จะยังไม่ยอมแตกหน่อใหม่  เกษตรกรควรจะให้ปุ๋ยอย่างต่อเนื่องและพอเพียง  ไผ่กิมซุ่งถึงจะมีใบเขียวเข้มและพร้อมที่จะสร้างหน่อแรก   การให้ปุ๋ยเมื่อปลูกไผ่กิมซุ่งในระยะแรกๆ  ต้นไผ่ยังเล็กอยู่ต้องระวังเรื่องปุ๋ยต้องไม่มากจนเกินไปเพราะความเข้มข้น ของปุ๋ยจะทำให้รากไผ่ที่แตกออกมาใหม่ๆและมีน้อยอยู่เน่าและแห้งไปได้ 
          - ปุ๋ยครั้งแรกเมื่อปลูกไผ่ผ่านไปประมาณ  40  วัน  ถ้าใช้มูลวัวแห้ง  3  กระป๋องนมมะลิโรยรอบๆกอไผ่   พอเดือนที่ 3  หลังปลูกใช้มูลวัวแห้งเพิ่มขึ้นได้  เป็น  10  กระป๋องนมมะลิ โรยรอบๆกอไผ่ พอเข้าเดือนที่  6  หลังปลูกก็ให้เพิ่มเป็น  1  ถังน้ำขนาด  10  ลิตรที่ใช้ทั่วๆไปโรยรอบๆกอไผ่ให้กว้างขึ้น   ก่อนให้มูลวัวควรกำจัดหญ้าก่อนทุกครั้งเพื่อไม่ให้แย่งปุ๋ยกับไผ่และควรหา ฟางข้าวหรือแกลบหรือหญ้าแห้งกลบเมื่อไผ่ยังเล็กๆอยู่จะทำให้หญ้าขึ้นช้าและ อุณหภูมิของดินไม่เปลี่ยนแปลง  ต้นไผ่จะโตเร็วขึ้น
          -ปุ๋ยครั้งแรกถ้าให้เป็นมูลไก่จะให้น้องกว่ามูลวัวเพราะมูลไก่มีความเข้มข้น สูงกว่า  จะให้ครั้งแรกเมื่อปลูกไผ่ผ่านไปประมาณ  40  วัน ใช้มูลไก่ไข่  1  กระป๋องนมมะลิ  โรยรอบๆต้นไผ่ห่างจากโคนต้นไผ่ประมาณ  20  เซนติเมตร  อย่าใส่ชิดโคนไผ่เด็ดขาดเพราะมูลไก่ไข่มีความเข็มข้นสูงมาก  ใส่ห่างให้รากไผ่ออกไปเลือกกินเอง  รากไผ่จะรู้วิธีว่าจะเข้าหามูลไก่ยังไงเอง  พอเดือนที่  3  หลังจากปลูก  ให้มูลไก่  2  กระป๋องนมมะลิ  โดยโรยรอบๆกอไผ่ห่างจากโคนไผ่ราวๆ  20  เซนติเมตรเช่นเดิม (แต่กอไผ่เริ่มมีหน่อใหม่การใส่จึงห่างจากจุดเดิม)  พอเข้าเดือนที่  6  หลังจากปลูกให้ใส่มูลไก่ไข่ประมาณ  1  กระป๋องน้ำมันเครื่องขนาด  5  ลิตรตัดเป็นปากฉลามแล้วตัดใส่  1    ครั้งโรยรอบๆ  กอไผ่ห่างจากกอราวๆ  20-30  เซนติเมตร (กอไผ่เริ่มมี  หลายลำ) ก่อนที่จะใส่มูลไก่ควรจะกำจัดหญ้ารอบๆกอไผ่ก่อนเพื่อไม่ให้แย่งปุ๋ยกับต้น ไผ่  และเมื่อใส่ปุ๋ยแล้วหาวัสดูคลุมดินเช่นฟางข้าว  หญ้าแห้ง  หรือแกลบใส่รอบๆโคนไผ่เพื่อไม่ให้หญ้าขึ้นไวและรักษาอุณหภูมิของดินและ ความชื้น 
          -ส่วนการใช้ปุ๋ยเคมี  ถ้าใช้ได้ร่วมกับปุ๋ยมูลวัวแห้งหรือมูลไก่ไข่ก็จะยิ่งทำให้ต้นไผ่โตดีและ เร็ว  ในระยะ  40  วันหลังจากปลูกไผ่แล้ว  ก็ให้ใช้ปุ๋ย  46-0-0  หรือยูเรียละลายน้ำโดยใช้ปุ๋ยยูเรีย  3  ช้อนโต๊ะ(ห้ามใช้ยูเรียมากกว่านี้เพราะจะทำให้ต้นไผ่เหี่ยวตายได้เพราะต้น ไผ่ยังเล็กและมีรากน้อยอยู่)  ต่อน้ำ  10  ลิตร  ละลายให้เข้ากับน้ำ  แล้วนำไปรดที่โคนไผ่โดยให้ต้นละ  1  แก้วน้ำ 
รดทุกๆ  15  วันจนไผ่มีใบเขียวเข้มและเริ่มสร้างหน่อแรก  สร้างหน่อที่สอง   ก็เริ่มหยุดรดปุ๋ยน้ำได้   ต่อไปเมื่อไผ่มีอายุได้  4  เดือนหลังจากปลูกเป็นต้นไป  (กอไผ่เริ่มมีลำและหน่อไม่ต่ำกว่า 3-4  ลำแล้ว)  ก็ให้ใช้ปุ๋ย 46-0-0  ผสมกับปุ๋ย 15-15-15  อย่างละ  1  ส่วน  แล้วนำไปใส่บริเวณรอบๆโคนไผ่   โดยใส่ใต้ปุ๋ยคอกที่ใส่ไว้แล้ว    โดยแบ่งใส่สัก  4  จุด  ห่างจากโคนต้นไผ่ราวๆ  30  เซนติเมตร  ใส่จุดละ  ครึ่งช้อนโต๊ะ  จะใส่ปุ๋ยสูตรนี้เดือนละ  1  ครั้ง  เพราะเป็นช่วงที่ไผ่กิมซุ่งสร้างกอ  จะมีหน่อแทงออกมาตลอด  เกษตรกรจะได้ลำไผ่ใหญ่เร็วภายในไม่เกิน  8  เดือน
          เมื่อเริ่มเก็บหน่อจำหน่ายจะใส่ปุ๋ยเดือนละครั้งหรือเร็วกว่านี้ขึ้นอยู่กับ ว่าเกษตรกรตัดหน่อออกไปมากน้อยเพียงใด  ถ้าตัดหน่อไปมาก  ต้นไผ่จะเสียอาหารมาก  อาหารที่ให้จะถูกใช้หมดอย่างรวดเร็ว ให้สังเกตุดูว่าถ้าหน่อมีขนาดเล็กลง  หลายหน่อเริ่มลีบนั่นก็คือต้องให้ปุ๋ยได้แล้วโดยใช้ปุ๋ยคอกเช่นมูลไก่ร่วม กับปุ๋ยเคมี  ใส่โดยใช้หว่านให้ทั่วๆทรงพุ่มได้แล้วเพราะใต้โคนไผ่ไม่มีแดดส่องและรากไผ่ มีอยู่กระจายทั่วไป  ปุ๋ยที่ใส่จะไม่สูญเสียไปไหน  เมื่อใส่ปุ๋ยต้องให้น้ำทันทีเพื่อให้ปุ๋ยละลาย  และเมื่อเข้าสู่ฤดูฝนและเกษตรกรไม่เก็บหน่อแล้วก็ลดปุ๋ยลงได้เหลือเพียงใส่ พอประมาณให้ลำแม่สร้างลำแม่ใหม่ได้สมบรูณ์
การให้น้ำไผ่กิมซุ่ง

          หากเกษตรกรปลูกไผ่ในฤดูฝน  แทบจะไม่ต้องให้น้ำเลย  จะให้ก็ครั้งแรกที่ปลูกให้รดน้ำทันทีให้ชุ่มเพื่อให้ดินจับกันแน่น  รากไผ่จะดูดน้ำได้ดินจะต้องจับกันแน่นกับรากเพื่อให้รากไผ่ดูดน้ำแบบระบบดูด ชึม(ออสโมซิส)  ถ้าไม่รดน้ำทันที  ถ้ามีแดดออกต้นไผ่จะเหี่ยว  ฝนจะตกหรือไม่ตกต้องรดน้ำครั้งแรกที่ปลูกไว้ก่อน  ตรงนี้สำคัญ  เกษตรกรหลายคนไม่เข้าใจ  คิดว่าปลูกในฤดฝนดินยังมีความชื้นอยู่ก็ไม่รดน้ำ  หากฝนไม่ตกในวันที่ปลูกแบบหนักๆ  ไผ่จะตากไปหลายต้นทีเดียว   ส่วนเกษตรกรที่เลือกปลูกไผ่ในฤดูแล้งเพราะที่ดินเป็นที่ลุ่มต่ำ ก็ต้องหาวิธีการให้น้ำ  ถ้าปลูกใหม่ยังไม่ต้องลงทุนมากก็ใช้น้ำเข้าร่องตักรดไปก่อนได้  หรือถ้าปลูกไม่มากก็ใช้สายยางรดเป็นต้นๆไปก่อนได้  แต่เมื่อไม่ว่าจะปลูกหน้าฝนหรือหน้าแล้งพอปลูกไปได้  8 เดือนไผ่กิมซุ่งพร้อมจะให้หน่อ  ก็จำเป็นต้องลงทุนเรื่องระบบน้ำ  เพราะกำลังจะมีรายได้จากการจำหน่ายหน่อ  และไผ่กิมซุ่งต้องการน้ำมากในการให้หน่อ
          ถ้าพื้นที่ปลูกเป็นที่ต่ำเช่นที่นา  เกษตรกรอาจจะใช้การสูบน้ำเข้าขังพอน้ำไปทั่วๆแปลงไผ่ก็หยุดให้น้ำปล่อยให้ แห้งภายใน  1-2  วัน  วิธีนี้เป็นวิธีที่ประหยัดและได้ผลดี  เพราะต้นไผ่ได้น้ำเต็มที่จะทำให้หน่อดกมาก  และน้ำอยู่ได้นานหลายวัน  พอเห็นว่าดินเริ่มแห้งก็สูบน้ำให้ใหม่  ราวๆประมาณ  10-15  วัน  แต่ในฤดูฝนไม่ต้องให้น้ำอาศัยน้ำฝนได้แต่หน่อก็ราคาถูกมากเหลืออยู่ที่ กก.ละ  3-6  บาท
          ถ้าพื้นที่ปลูกไผ่เป็นที่ลาดเท  ที่ดอน พื้นที่ไม่เท่ากัน  ก็จำเป็นต้องให้น้ำแบบสปิงเกอร์  โดยใช้สายพีอี  ที่ดีที่สุดใช้สายพีอีแบบ  25  มิลลิเมตร  พื้นที่  1  ไร่จะใช้สายพีอี  2  ม้วน (  400 เมตร) ต่อกับท่อพีวีซี  2  นิ้วซึ่งเป็นท่อเมนต์ใช้ข้อต่อทดและวาวน้ำ  และใช้ปั้มน้ำ  2  นิ้วมอเตอร์  2-3  แรงม้า  แถวของไผ่ที่ใช้สายพีอีไม่ควรจะเกิน  50  เมตรเพราะน้ำจะแรงถึงปลายสาย  ต้นไผ่  1  กอถ้าช่วงที่ให้หน่อแล้วควรจะเจาะรูใต้กอไผ่ราวๆ  2-3  รูน้ำถึงจะพอที่จะทำให้หน่อออกดกและต่อเนื่อง  ไผ่กิมซุ่งกินน้ำเก่งมาก  ถ้าให้น้ำไม่พอหน่อจะไม่ค่อยออกในช่วงฤดูแล้ง   การให้น้ำในช่วงฤดูแล้งคือเดือนพฤศจิกายน ถึงเดือนเมษายน  จะให้ทุกๆ  3 วัน ครั้งละ  1-2  ชั่วโมงต่อแถวของไผ่ที่ให้  สังเกตุดูว่าจะให้นานเท่าไหร่ก็หาเหล็กเส้น 2  หุนแทงลงดินรอบๆกอไผ่ที่น้ำซึงไม่ถึง  ถ้าแทงไม่เข้าก็ให้น้ำต่อไปอีก  ถ้าแทงเข้าไป  10  เซนติเมตรก็ยังไม่พอ  จะต้องแทงเหล็กให้เข้าดินลึกราวๆ  25  เซนติเมตรถึงจะชุ่ม  เกษตรกรหลายคนบอกให้น้ำทุกวัน  แต่ไม่เคยเอาเหล็กทดสอบแทงลงดินดู  คิดว่าให้ทุกวันแล้วพอกิน  สายพีอีเป็นสายเล็กๆ  ถ้าใช้เวลาน้อยน้ำที่ให้ไผ่จะไม่พอให้ไผ่กิน  หน่อจะไม่ออก  หรือออกน้อยในช่วงฤดูแล้งและเป็นช่วงที่หน่อมีราคาแพงเกษตรกรอยากให้หน่อออ กมากๆ  แต่น้ำให้ไม่มากพอหน่อก็ออกน้อย    แต่พอฤดูฝนมาถึงก็อาศัยน้ำฝนต่อได้เลย  แต่หน่อก็จะเริ่มถูกลงเพราะมีหน่อไม้อื่นๆออกมามากเพราะได้น้ำฝนเหมือนกัน

การตัดแต่งกิ่งและการไว้ลำไผ่กิมซุ่ง

          ไผ่กิงซุ่งช่วงที่เกษตรกรไปซื้อจากร้านหรือสวนที่ขายพันธุ์  ถ้าเป็นไปได้ควรเลือกต้นกล้าไผ่กิมซุ่งที่มีรากเต็มถุงแล้ว สังเกตุคือถ้าจับต้นหิ้วแล้ไม่หลุดและให้ดูใต้ถุงดำว่ารากเดินทะลุถุงดำหรือ ยัง  และถ้ามีหน่อเล็กๆโผล่ออกมาจากดินยิ่งดีนั่นหมายความว่ากล้าไผ่กิมซุ่งที่ ร้านหรือสวนที่ขายได้ใส่ถุงนานไม่ต่ำกว่า  4  เดือนแล้วเกษตรกรจะได้กล้าที่แข็งแรงพร้อมที่จะแตกรากและออกหน่อได้ไวหลัง จากปลูก   ระหว่างที่ปลูกต้องดูแล  ให้น้ำ  ให้ปุ๋ยกำจัดวัชพืช   เมื่อให้ปุ๋ยไปได้ไม่นาน หน่อแรกก็จะออกมา  เมื่อเกษตรกรให้ปุ๋ยต่อเนื่องโดยไม่ขาด  หน่อที่สองก็จะออกมากและมีขนาดใหญ่กว่าหน่อแรกมาก   ไม่เกิน  3  เดือนหลังจากปลูกก็จะได้หน่อที่ สาม ซึ่งมีขนาดใหญ่พอที่จะทำเป็นต้นแม่ได้  การตัดแต่งกิ่งจะไม่ได้ทำเลยคอยแต่กำจัดวัชพืชอย่างเดียวเพื่อไม่ให้รกและ แย่งอาหารจากไผ่  ที่เราไม่ตัดแต่กิ่งและใบไผ่กิมซุ่งเลยเพราะช่วงที่ไผ่กำลังสร้างกอต้องการ ใบที่มีมากพอ  ที่จะสร้างหน่อน่อเนื่อง  ถ้าเราเผลอไปตัดใบไผ่ทิ้งจะทำให้การออกหน่อชะงักทันที   เมื่อดูแลต่อไประหว่าง  4-6  เดือนหลังจากปลูก  หน่อให้ลำแม่ใหญ่จะออกมาได้   3   หน่อโดยทะยอยออก  เกษตรกรจะต้องเลือกว่าจะไว้เป็นลำแม่สังเกตุดูว่าขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางลำจะ ต้องไม่ต่ำกว่า   2  นิ้ว  พอหน่อเริ่มพุ่งสูงขึ้นโดยปล่อยให้สูงไปเรื่อยๆ พอเกิน  4  เมตรก็จะเริ่มเห็นข้อของลำไผ่  แต่ลำไผ่ยังไม่แตกกิ่งแขนงและใบ  ลำยังอ่อนอยู่ให้ตัดยอดของลำทิ้งโดยตัดที่ประมาณ  3-4  เมตร การตัดช่วงที่ลำไผ่ยังไม่มีกิ่งและใบเนื้อของลำไผ่ยังอ่อนอยู่จะทำให้ตัด ง่าย  ไม่ต้องออกแรงมาก  และอาหารที่ไม่ต้องส่งให้ลำสูงไปกว่านี้ก็จะไปกระตุ่นให้ออกกิ่งและใบเร็ว ขึ้นและจะไปทำให้หน่อที่โผล่ขึ้นมาเป็นลำแม่โผล่ได้เร็วขึ้น  อีกไม่นานก็จะมีหน่อโผล่จากดินครบทั้ง  3 ลำพอดีพร้อมที่จะเป็นลำแม่  ให้ตัดยอดทิ้งทั้ง  3 ลำ ที่เลือกไว้เป็นลำแม่  เกษตรกรต้องรอให้ลำแม่ทั้ง  3  ลำมีกิ่งก้าน  และใบแก่เป็นสีเขียวเข้มนั่นหมายความว่าลำแม่ที่เลือกไว้ทั้ง  3  ลำต่อกอพร้อมที่จะให้หน่อแล้ว   ฉะนั้นถึงเวลาแล้วที่จะตัดลำเล็กๆที่เกิดก่อน  1-3  ลำ พร้อมกับต้นตอที่ซื้อมาในถุงดำออกได้แล้วโดยตัดให้ชิดดิน  เมื่อตัดต้นเล็กๆทิ้งไปแล้วก็จะเหลือต้นที่เลือกไว้  กอละ  3  ต้น (จากที่เริ่มปลูกจนมาถึงการไว้ลำแม่  3 ลำจะใช้เวลาไม่เกิน  8  เดือน หากมีการดูแลต่อเนื่อง)  จากนั้นก็ริดกิ่งแขนงข้างออก  โดยดูว่าเดินแล้วไม่ชนศรีษะ  ไม่แทงหน้าแทงตา  ให้พอเข้าไปเก็บหน่อสะดวก  การตัดกิ่งแขนงควรตัดให้ชิดกับลำต้นไผ่  ตาจะได้ไม่แตกออกมาใหม่  (แต่ถ้าเกษตรกรต้องการปลูกเพิ่มก็ให้เกษตรกรตอนออกไปปลูกเพิ่มอีกได้โดยไม่ ต้องซื้อไผ่กิมซุ่งอีกเลย)   กิ่งแขนงด้านล่างมักจะไม่ถูกแดดเต็มที่  ไม่ได้สังเคราะห์แสงเพื่อสร้างแป้ง  จะกินอาหารจากกิ่งด้านบนที่ทำหน้าที่สังเคราะห็แสงจาดแดด  หากเกษตรกรตัดทิ้งหรือตอนออกไปจะทำให้ต้นไผ่ไม่ต้องเสียอาหารมาเลี้ยง  อาหารจะถูกส่งไปสร้างหน่อใหม่เพื่อจะขยายกอ  (ไผ่กิมซุ่งเขาจะต้องสร้างกอมากๆมีหลายๆลำ  เมื่อเราตัดลำออกให้เหลือกอละ  3  ลำ โดยธรรมชาติของไผ่ก็จะพยายามสร้างหน่อใหม่ขึ้นมาทดแทน  เกษตรกรก็เริ่มตัดหน่อออกจำหน่ายได้เลย  การตัดหน่อควรจะตัดให้ถึงส่วนที่เป็นเส้นใย(จะเป็นที่อยู่ของตาหน่อ)  ให้เหลือตาที่สำหรับเป็นหน่อได้อีก  2-4  ตา

          หากเกษตรกรปลูกไผ่กิมซุ่งเดือนพฤษภาคมหรือเดือนมิถุนายน   เมื่อถึงเดือนธันวาคมจะต้องมีลำแม่  3 ลำและตัดแต่งลำต้น  ตัดแต่งกิ่งแขนง  ให้ปุ๋ยคอกปุ๋ยเคมีพร้อมแล้ว เกษตรกรเมื่อให้น้ำต่อเนื่องตั่งแต่เดือนพฤศจิกายนมา   เดือนมกราคมเกษตรกรสามารถที่จะขายหน่อครั้งแรกได้ราคาสูงสุดของปีนั้นๆ  และจะขายได้ต่อเนื่องในเดือนกุมภาพันธ์  มีนาคม  เมษายน  พฤษภาคม  ถ้าฝนมาเร็วราคาหน่อก็จะลงเร็วเพราะมีหน่อของสวนอื่นๆออกมามาก  น้ำจึงเป็นเรื่องสำคัญ  ถ้ามีน้ำก็จะทำให้หน่อออกได้ในช่วงที่หน่อของสวนอื่นๆที่ไม่มีน้ำและหน่อ ป่า   ยิ่งปีไหนฝนมาช้ามากๆ หรือที่เรียกว่าภัยแล้ง เกษตรกรที่มีน้ำก็จะได้ราคาหน่อที่แพงนานหลายเดือน  ระหว่างเก็บหน่อการตัดแต่งกิ่งจะไม่ทำเลย  ถ้าไปยุ่งกับกิ่งหรือใบ  แม้แต่การตอนกิ่งจำหน่ายก็ทำไม่ได้  (แปลงทำพันธุ์ต้องเป็นแปลงที่ไม่คิดจะเก็บหน่อ)  หน่อจะสะดุดทันที   ถ้าเลือกหน่อขายก็ต้องไม่เลือกทำพันธุ์  หากมีลมพายุมากระทบถ้าแรงจนกอไผ่โค่นล้มไปหลายต้นหน่อก็จะสะดุดไม่ออก  และที่ออกมาแล้วก็ฝ่อไป  ผมจึงให้ตัดยอดของไผ่ทิ้งไปตั้งแต่ยังไม่มีใบ(ไผ่กิมซุ่งจะปรับตัวและสร้าง ใบขึ้นมาโดยอาศัยอาหารจากต้นเดิมที่เรายังไม่ได้ตัดทิ้ง เพราะถ้ามาตัดตอนเก็บหน่อจะตัดไม่ได้หน่อจะไม่ออก (ช่วงเก็บหน่อต้องใช้ใบในการสร้างอาหารไปเลี้ยงหน่อ)  ในช่วงที่หน่อมีราคาแพงมักจะมีพายุฤดูร้อนมาหลายๆละลอก  สวนไหนที่ไม่ตัดยอดความเสียหายจะมากกว่าสวนที่ตัดยอดซึ่งเป็นโอกาสที่จะมี รายได้ในช่วงฤดูแล้งของการทำหน่อนอกฤดู

          ผมเขียนเรื่องการปลูกกิมซุ่งทำอย่างไรให้สามารถตัดหน่อได้ภายในไม่เกิน  8  เดือนหลังจากปลูกและตัดได้ต่อเนื่องในช่วงนอกฤดู  ส่วนการทำให้ไผ่กิมซุ่งออกนอกฤดูในปีถัดไปให้อ่านจากหัวข้อการทำไผ่กิมซุ่ง ให้ออกนอกฤดู   หากข้อมูลที่เขียนขึ้นมาด้วยความตั้งใจจะให้ไผ่กิมซุ่งเป็นพืชตัวหนึ่งใน สวนของท่าน  ที่จะให้ท่านได้มีรายได้คุ้มจากการทำไผ่นอกฤดู  หากท่านเห็นว่าไม่เป็นประโยชน์ต่อท่านๆ  ท่านก็ไม่ต้องนำไปปฏิบัติ  หากมีประโยชน์ต่อท่านผู้อ่านผมก็มีความยินดี  และจะได้แนะนำการปลูกไผ่บงหวานจากประสบการณ์ให้มีรายได้จากการขายหน่อที่ อยู่ได้ต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น